วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ทรงผมแบบสาวมั่นมีไตล์



สวยมั่นให้มีสไตล์

ผู้หญิงทุกคนอยากให้ทรงผมดูดี มีสไตล์ มีรูปทรงที่สวยงาม แต่ในความเป็นจริงเมื่อส่องกระจกก็เหมือนฝันร้ายเพราะผมดูลีบติดหนังศีรษะทำให้หน้าตาไม่แจ่มใสไปด้วย แต่ด้วยเทคนิคต่อไปนี้ คุณจะได้ทรงผมเข้ารูปสวย มีโวลุมเหมือนออกมาจากร้านทำผมใหม่ๆ เชียวล่ะ
1.ผมดูหนาขึ้นด้วย เครื่องม้วนผมไฟฟ้า
สาวผมยาวและครึ่งสั้นครึ่งยาวมักมีปัญหาผมลีบเร็ว ไม่อยู่ทรงดูหนาสวยตลอดวัน จึงควรใช้เครื่องม้วนผมไฟฟ้าจัดแต่งผมให้มีรูปทรง โดยม้วนปอยผมกับเครื่องม้วนผมไฟฟ้า ปล่อยให้อุ่นสักครู่แล้วจึงคลายออก แต่ถ้าเป็นผมเส้นเล็กที่บอบบางไม่ควรทำบ่อย
2.โรลม้วนผมจัมโบ้เพิ่มโวลุม
การใช้โรลม้วนผมจัมโบ้เป็นวิธีดั้งเดิมที่ใช้ได้ผลเสมอมา ก่อนที่ผมจะแห้งสนิทให้ใช้โรลม้วนผมจัมโบ้ม้วนผมไว้ 5-6 โรล แล้วไดร์ผมให้แห้ง เมื่อหวีผมจะเห็นได้ว่าทรงผมคุณดูหนาขึ้น และมีรูปทรงสวย
3.จัดแต่งทรงผมง่ายๆ ด้วยหวีกลม
วิธีนี้เป็นการเลียนแบบช่างทำผมมืออาชีพให้แบ่งผมเป็นปอยบางๆ แล้วม้วนด้วยหวีกลม จากนั้นไดร์ให้แห้งทิ้งหวีคาไว้ แล้วใช้หวีกลมอีกเล่มม้วนปอยผมถัดไป ใช้หวีกลม 3 เล่ม ม้วนสลับกันไปเรื่อย เมื่อปอยผมแรกเย็นลงก็นำหวีกลมมาม้วนปอยผมปอยใหม่ โดยที่หวีอีก 2 เล่ม ยังม้วนค้างอยู่ที่ปอยผม
4.หยิกหวานสวยด้วยลวดม้วนผม
แบ่งปอยผมไม่หนาและไม่บางมาก (ปอยผมยิ่งบางเท่าไหร่ ผมก็จะยิ่งหยิกมากเท่านั้น) แล้วม้วนพันด้วยลวดม้วนผม ถ้าต้องการผมหยิกอ่อนๆ ให้ใช้แปรงหวีถี่หน่อย หรือจะปล่อยให้หยิกมากก็ได้
5.เทคนิคการม้วนผมอย่างรวดเร็ว
หากคุณอยากได้ทรงผมใหม่ที่มีรูปทรงสวยให้คุณทำผมให้ขึ้นแบ่งปอยผมม้วนด้วยสองนิ้ว ติดกิ๊บไว้ให้แน่น แล้วฉีดสเปรย์ ไดร์ผมสักครู่ หลังจากนั้น แกะผมที่ม้วนไว้ออก หวีผมจัดทรงให้ดูงาม
6.การไดร์ผมสั้น
การไดร์ผมสั้นให้มีรูปทรงหนา ไม่ลีบติดหนังศีรษะ ง่ายนิดเดียวเท่านั้น คือ ขณะที่คุณไดร์ผม ให้ใช้ปลายนิ้วมือแทรกวนเข้าไปที่หนังศีรษะ แล้วไดร์จากล่างขึ้นข้างบน จะทำให้โคนผมอยู่ทรง ไม่ลีบติดหนังศีรษะ


ขอขอบคุณข้อมูลจากhttp://lisaguru.com/

วิธีดูแลผมดัด ด้วยตัวเอง

วันนี้เรามีขอแนะนำ เคล็ดลับวิธีดูแลผมดัดด้วยตัวเองแบบง่าย ๆ มาบอก... หลังจากดัดผมเสร็จ ให้ทิ้งไว้ก่อนประมาณ 48 ชั่วโมง แล้วค่อยใช้แชมพูและครีมนวดสูตรเฉพาะผมดัดสระผม หลังสระผมเสร็จ ควรเช็ดให้แห้ง เพราะถ้าผมเปียกอยู่จะทำให้เส้นผมยืดตัวได้ เวลาแปรงผม ควรหวีด้วยหวีซี่ห่าง หรือใช้เพียงนิ้วมือช่วยจัดแต่งทรงให้เข้าที่เข้าทางก็พอ หลังสระผม ควรปล่อยให้ผมแห้งเอง หลีกเลี่ยงการใช้ความร้อนกับผมดัด หากไม่ต้องการให้ผมชี้ฟู ให้ใส่เซรั่มหรือผลิตภัณฑ์ตกแต่งทรงผม สำหรับผมดัดโดยเฉพาะ ผมลอนใหญ่จัดทรงยาก ใช้มูสชโลมผมที่เปียกหมาด ๆ แสกผมแล้วแบ่งผมเป็นช่อ ม้วนด้วยโรลขนาดใหญ่ทิ้งไว้จนแห้ง แล้วใช้นิ้วจัดแต่งทรง อยากมีผมดัดสวย ลองนำวิธีที่แนะนำไปใช้ดูได้...
ขอขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์

ลอนผมสวยโดยไม่ต้องดัด




ลอนผมสวย โดยไม่ต้องดัด

ลอนผมสวย ๆ ไม่ใช่ได้มาจากคีมดัดผมไฟฟ้าหรือน้ำยาดัดผม เท่านั้น ยังมีวิธีง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คุณมีลอนผมสวยได้นั่นก็คือ หลังสระผมแล้วใช้ผ้าขนหนูซับให้แห้ง ฉีดสเปรย์ที่มีแรงยึดเกาะเต็มที่ลงไป แบ่งผมเป็น 10 ส่วนเท่า ๆ กัน บิดผม แต่ละส่วนจากโคนถึงปลายเป็นมวยเล็ก ๆ ใช้ไดร์เป่าผมให้แห้งซักสองสามนาที เพื่อให้แน่ใจว่าเส้นผมของคุณจะไม่เปียกแฉะไปตลอดคืน แล้วเข้านอนทั้ง ๆ ที่มัดมวยไว้อย่างนั้น พอตื่นนอนในตอนเช้าก็ใช้ไดร์เป่าอีกเล็กน้อยก่อนแกะ มวยผมนั้นออก ลอนผมอาจจะดูแน่นสักหน่อยในตอนแรก แต่หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงลอนผมก็จะยืดออกจนดูสวยเป็นธรรมชาติ แล้วแต่งลอนผมให้เข้ารูปเข้าทรงโดยใช้นิ้วมือสาง


ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.lisaguru.com/homepageฉบับวันที่ 25 พฤศจิกายน 2552

วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2552

แฟชั่นทรงผมหน้าม้า






ทรงผมหน้าม้ามาแรงจริงๆ
คงไม่มีใครปฏิเสธได้เลยว่าผมหน้าม้าและผมดัดมาแรงจริงๆ ดาราทั้งไทยและต่างประเทศก็แห่ไปทำกันเสียยกใหญ่ แต่จะเลือกอย่างไรให้ถูกใจและเหมาะกับใบหน้าของเรามากที่สุด ต้องมาดูกัน
ผมหน้าม้าเวียนกลับมาฮิตอีกครั้ง นับว่าเป็นทรงผมที่อมตะจริงๆ อาจเป็นเพราะทำให้ใบหน้าดูเด็กลง แถมยังอำพรางริ้วรอยบนหน้าผากและปิดหัวเหม่งได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ถ้าไม่อยากตกม้าตายต้องเลือกให้เหมาะกับรูปหน้าสิถึงจะเริ่ด

A. Baby Bangs สาวเปรี้ยวก๋ากั่นต้องไม่พลาดผมหน้าม้าเต่อเด็ดขาด โดยเฉพาะสาวที่มีหน้าผากแคบและผมเส้นเล็ก แต่ถ้ามีผมหนาจะให้ช่างซอยให้บางลงก็ช่วยได้ ขอแนะนำว่าเหมาะมากๆสำหรับสาวหน้ารูปไข่ แต่สำหรับสาวหน้ากลมหรือหน้าเหลี่ยมก็ไม่ต้องเสียใจ ลองตัดให้เต่อเหนือคิ้วเล็กน้อย แล้วซอยผมหน้าให้บางลงและไล่ปลายผมให้ต่างระดับกัน จากนั้นตัดผมด้านข้างให้อยู่ในระดับคาง เพื่อให้บังช่วงแก้มช่วยให้หน้าดูเรียวขึ้นได้ไม่น้อย

B. Straight Bangs ผมหน้าม้าตัดตรงแบบออริจินัล นอกจากเหมาะกับหน้ารูปไข่แล้ว ยังเหมาะกับรูปหน้ายาวอีกด้วย เพราะช่วยอำพรางความยาวของใบหน้าให้ดูสั้นลง ฉะนั้นสาวหน้าสั้นควรหลีกทรงนี้ให้ไกล ไม่อย่างนั้นหน้าจะยิ่งสั้นและกลมไปกันใหญ่ ที่สำคัญต้องหมั่นไดร์ให้ตรง อย่าให้ผมกระดกปลายให้เสียรูปทรงเป็นอันขาด

C. Side Swept Bangs มาแล้วทรงผมช่วยชีวิตของคนหน้ากลมและหน้าเหลี่ยม เพราะผมหน้าม้าปัดข้างช่วยให้หน้าผากที่ไม่ได้สัดส่วนดูได้รูปยิ่งขึ้น แถมไม่ทำให้หน้าสั้นอีกด้วย นอกจากนั้นยังเหมาะสำหรับคนที่มีหน้าผากกว้างแบบหน้ารูปหัวใจ จะช่วยอำพรางช่วงหน้าผากได้ดี สำหรับทรงนี้ไม่จำเป็นต้องซอยผมให้บางลงก็ได้ แต่ควรซอยไล่ให้ผมเป็นแนวเฉียงลงไปหาด้านข้าง
Take care your Bangs
1. หมั่นเล็มผมหน้าม้าให้ได้รูปทรงและระดับอยู่เสมอ2. สำหรับม้าปัดข้าง อาจต้องใช้แว็กซ์หรือสเปรย์(แบบอยู่ทรงเป็นธรรมชาติ)เพื่อให้ผมอยู่ทรงและไม่ชี้ฟู3. ดูแลผมหน้าม้าให้พริ้วสลวยด้วยลีฟอินหรือสเปรย์บำรุงเส้นผม แต่ไม่ควรใส่เยอะจนผมเปียกแนบกับหน้าผากเหมือนคนไม่ได้สระผมนะ Chic Curls กระแสผมดัดของช่วงนี้ คงหนีไม่พ้นลอนใหญ่ๆ แบบญี่ปุ่น เพราะเข้ากับรูปหน้าของสาวไทยได้ดี แถมยังไม่ต้องดูแลให้มากมายก็สวยได้ไม่ยาก

A. Big Curls Wave ลุคนี้จะดูเนี้ยบๆ สักหน่อยด้วยลอนผมขนาดใหญ่ที่เน้นให้เห็นลอนผมชัดเจน สำหรับสาวหน้าสี่เหลี่ยมแนะนำให้สไลซ์ไล่ระดับผมตามกรอบหน้าจากช่วงคางไปจนสุดปลายผม จะช่วยเพิ่มความหวานและช่วยพรางช่วงคางได้มากขึ้น สำหรับสาวหน้ากลมที่เหมาะกับผมลอนใหญ่มากกว่าลอนเล็กอยู่แล้ว ควรไว้ผมให้ยาวเกินปลายคางลงไป แล้วสไลซ์ผมตั้งแต่ช่วงหูไล่ลงมาเรื่อยๆ จะช่วยปกปิดหน้ากลมๆได้
Tip ถ้าผมที่ดัดมาหยิกเกินไปหรือเบื่อลอนเก่าๆอยากเปลี่ยนให้เป็นลุคนี้บ้าง แนะนำให้ใช้ไดร์เป่าผมจากด้านหน้าเสยไปด้านหลัง และใช้นิ้วสางลอนออกเล็กน้อย แล้วใช้น้ำมันหรือครีมชโลมบนผมเบาๆ

B. Natural Curls สาวที่ไม่ชอบเซตผมให้วุ่นวาย ต้องชอบทรงนี้แน่นอน เพราะจะดูเป็นธรรมชาติมากๆ ฉะนั้นสาวรูปหน้าต่างๆ โดยเฉพาะหน้ารูปหัวใจจะต้องอินเลิฟกับทรงนี้อย่างแน่นอน เพราะปลายผมที่ดูพริ้วๆช่วยดึงดูดสายตาจากคางที่แหลมได้เป็นอย่างดี ส่วนสาวหน้ากลมก็ทำทรงนี้ได้เช่นกัน เพียงสไลซ์ผมตามที่บอกไว้ในลุคแรก แค่นี้ก็เวิร์คแล้ว
C. Curly Swell ผมพองๆ ฟูๆ จะทำให้สาวผมสั้นที่ไม่ค่อยมีพื้นที่ในการดัดลอนสามารถโชว์ลอนผมตั้งแต่ช่วงหูได้ แต่ควรดูนิดนึงว่าเป็นคนศีรษะโตและหน้ากลมหรือไม่ ถ้าใช่ขอให้หลีกเลี่ยงทรงนี้จะดีกว่า ส่วนสาวหน้ารูปหัวใจก็เช่นกัน ควรหลีกเลี่ยงผมที่ดูพองๆ เพราะจะเน้นรูปศีรษะให้มีขนาดใหญ่ยิ่งขึ้น แต่สำหรับสาวหน้ายาว สามารถเข้ากับทรงนี้ได้ดี เพราะปกติแล้วไม่ควรไว้ผมให้ยาวมากจนเกินไป จะทำให้หน้ายิ่งดูยาวไปกันใหญ่ จึงควรเพิ่มวอลุ่มบนศีรษะให้พองๆจะได้ช่วยให้หน้าดูกลมขึ้น


ข้อมูลจาก http://www.sudsapda.com/SudSapDa2007/

แฟชั่นทรงผมรับปริญญา









































































































































ทรงผมรับปริญญา

คราวนี้มีทรงผมรับปริญญาสวยๆ เก๋ๆมาฝากกันคราวที่แล้วทรงผมดารา คราวนี้ทรงผมตัวเองจะทำทรงไหนดีล่ะคิดไม่ออกมาดูแบบผมที่แสนเสน่ห์เอามาฝากนะจ๊ะเอาไปเป็นแนวทางหรือเอาไปดัดแปลงแล้วแต่ไอเดียบรรเจิดของแต่ละคนจะเป็นบัณฑิตทั้งทีก็ขอสวยไว้ก่อนจะได้ถ่ายรูปสวยๆเก็บไว้อวดได้นะจ๊ะคราวนี้หยิบยกไอเดียเก๋ๆมาจากนิตยสาร Seventeen เค้าได้รวมทรงผมสวยๆ ทันสมัย มาให้เราชมกัน
ตามมาดูเลยจ้า


ทรงผมรับปริญญา แบบยาวทรงที่ 1
แบ่งผมออกเป็น3 ส่วน ยีผมด้านหน้าก่อนแล้วเก็บด้านข้าง 2 ข้างขึ้นไปไว้ด้านหลัง
แล้วติดกิ๊บหลังจากนั้นให้ยกผมส่วนหน้าให้พองขึ้น
ทรงนี้จะช่วยให้สาวๆที่มีแก้ม มีรูปหน้าที่เพรียวขึ้น


ทรงผมรับปริญญา แบบยาวทรงที่ 2
เก็บผมครึ่งศีรษะ ยีผมตรงกลางศีรษะ ยกโคนผมขึ้น
เก็บด้านข้างสองข้างบิดเป็นเกลียวให้แน่นพอประมาณ จ
ากนั้นรวบไปไว้ด้านหลัง รวมไว้ตรงกลางแล้วใช้กิ๊บติด
ด้านหน้าทำผมปาดหน้าผาก แล้วฉีดสเปรย์


ทรงผมรับปริญญา แบบยาวทรงที่ 3
รวบผมขึ้นไปด้านหลังทั้งหมดเกือบคล้ายทรงจินนี่
แบ่งผมออกมาช่อหนึ่งถักเป็นแล้วพันรอบผมที่รวบไว้
ช่วยยกระดับผมใหสูงขึ้น ทำให้ทรงผมมีสไตล์มากขึ้น
ไม้เรียบง่ายจนง่ายไป เหมาะกับสาวที่มีรูปหน้าผาก


ทรงผมรับปริญญา แบบยาวทรงที่ 4
ไดร์ผมให้ตรงทั้งศีรษะ แบ่งผมแสกด้านข้าง
เลือกแสกข้างที่จะช่วยให้ใบหน้าดูโดเด่นเพิ่มมากขึ้น
จากนั้นเริ่มถักเปียตะขาบ โดยถักด้านข้านที่มีเส้นผมมากกว่าก่อน
ถักลงมาถึงข้างใบหู แล้วเก็บหางผมไว้ใต้เส้นผมส่วนหลัง ทำแบบเดียวกันทั้ง 2 ข้าง
ทรงผมรับปริญญา แบบยาวทรงที่ 5
ไดร์ผมให้ตรงทั้งศีรษะแบ่งผมเป็น 2 ส่วนแบบแสกด้านข้าง
ถักเปียสองช่วงกลางศีรษะจนสุดปลายผมทั้ง 2 ด้าน
นำหางเปียไปซ่อนไว้ที่ใต้เส้นผมส่วนหลัง
ผมทรงนี้เหมาะสำหรับสาวที่มีใบหน้าหมวยมากๆ


ทรงผมรับปริญญา แบบยาวทรงที่ 6
ไดร์ผมตรงทั้งศีรษะ แล้วแบ่งผมเป็น 3 ส่วน หวีผมด้านข้างให้เรียบแนบไปกับศีรษะ
แล้วมัดไว้ครึ่งศีรษะด้านหลังเสยผมด้านหน้าทำเป็นกระบังยกสูงปิดทับ
เส้นผมส่วนที่มัดยางเอาไว้แล้วติดกิ๊บ
ผมทรงนี้เน้นโชว์ความสวยของใบหน้ารูปไข่


ทรงผมรับปริญญา แบบยาวทรงที่ 7
ใช้เครื่องรีดเส้นผมให้เรียบตั้งแต่โคนศีรษะจดปลาย แต่เน้นรีดปลายเส้นผมให้ชี้เล็กน้อย
แสกผมไปด้านข้าง จับเส้นผมด้านหน้าผากบิดเป็นเกลียวทั้งด้านขวาและซ้ายแล้วติดกิ๊บ
รวบผมด้านหลังทั้งหมดเป็นหางม้าต่ำ จับผมจากช่อหางส่วนหนึ่ง
มาพันทับโคนหางม้าที่รัดยางไว้ ช่วยให้หาวม้าดูมีดีไซด์มากขึ้น


ทรงผมรับปริญญา แบบยาวทรงที่ 8
แบ่งผมออกเป็น 3 ส่วนจับผมส่วนกลางศีรษะถักเปียเป็นสาม
จนถึงกลางกระหม่อม ส่วนผมด้านข้างให้แบ่งเป็น 2 ส่วนแล้วบิดส่วนบนข้างกระหม่อมเป็นเกลียว
บิดผมด้านข้างใบหูเป็นเกลียวเช่นกัน ทำแบบเดียวกัน 2 ข้าง ซ้ายขวา
ทรงผมรับปริญญา แบบยาวทรงที่ 9
แบ่งผมครึ่งศีรษะ เป็นด้านหน้าด้านหลัง แล้วแสกผมด้านข้าง
ถักเปียตะขาบยาวลงมาจนสุดปลายแบ่งผมด้านหลังเป็น 2 ข้าง
แต่ละข้างถักเป็นเปียตะขาบ แล้วนำผมเปียด้านหน้าและด้านหลัง
ทั้งหมดมาถัดรวมกันไว้ที่กลางสีรษะด้านหลังแล้วมัดเหลือเป็นหางม้าช่วงท้ายทอย
ทรงผมรับปริญญา แบบประบ่าทรงที่ 1
ม้วนผมช่วงครึ่งศีรษะล่างให้เป็นลอนจนสุดปลายผม
แล้วแสกผมตั้งแต่ด้านหน้าให้เป็นรูปแนวโค้ง
เกล้าผมขึ้นครึ่งศีรษะ เก็บผมสองข้างใบหูบิดรวบไว้ตรงกลางศีรษะ
จับเส้นผมที่เกล้าไว้ครึ่งบนด้วยเจล ช่วยเพิ่มความเป็นเวทลุค เหมาะกับสาวที่ใบหน้ายาว
ทรงผมรับปริญญา แบบประบ่าทรงที่ 2
ไดร์ผมให้ตรงทั้งสีรษะ แบ่งผมแสกไปด้านข้าง
ใช้เครื่องหนีบรีดเส้นผมซ้ำให้ตรงพอประมาณ เหน็บผมด้านข้างไว้ที่หลังใบหู
ฉีดสเปรยืเพิ่มความเงางาม เน้นโชว์ความสวยของเนื้อเส้นผมธรรมชาติ
ทรงนี้ใช้เวลาน้อยมาก เหมาะกับสาวที่มีเส้นผมสุขภาพดี
ทรงผมรับปริญญา แบบประบ่าทรงที่ 3
รวบผมทั้งหมดให้ตึง มัดเส้นผมไว้ระดับบนสุดขิงศีรษะด้านหลัง
แล้วใช้เครื่องม้วนผมทำปลายเส้นผมให้สวอนขึ้นจากนั้นยีผมช่อที่มัดให้พองเป็นพุ่มสวยงาม
ผมทรงนี้เหมาะมากกับสาวหน้าผากกลมได้รูปสวย


ทรงผมรับปริญญา แบบประบ่าทรงที่ 4
ยืดด้านหน้าแล้วเสยขึ้นไปทั้งหมด ดันเส้นผมช่วงบนศีรษะให้พองสูงพอประมาณ
ม้วนเส้นผมด้านหลังให้เป็นลอนทั้งหมด แต่ลักษณะของการม้วนให้บิดลอนออกมาด้านนอก
จะช่วยให้เป็นผมม้วนที่ดูเรียบร้อยสุภาพขึ้น
เหมาะกับสวที่มีรูปหน้าสามเหลี่ยมหรือหน้าสั้น เพราะจะทำให้ใบหน้าดูยาวขึ้น
ทรงผมรับปริญญา แบบประบ่าทรงที่ 5
แสกผมด้านหน้าตรงกลางสันจมูก หวีปาดสองข้างให้เรียบ
ยีผมช่วงกลางกระหม่อมแล้วยกสูง เก็บเส้นผมด้านข้างไว้แนบหลังหู
ติดกิ๊บไว้ แล้วไดร์ผมส่วนบนมาปิดใบหูอีกที
ซึ่งวิธีนี้เป็นเทคนิคที่ช่วยสาวที่มีใบหูกางได้มาก ส่วนด้านหลังก็ปล่อยยาวลงมา


ทรงผมรับปริญญา แบบประบ่าทรงที่ 6
ยีผมด้านหน้าศีรษะ ไดร์ผมส่วนที่เหลือให้เรียบตรงตามธรรมชาติของเส้นผม
แล้วเสยผมด้านหน้าขึ้น รวบไปรวมกับผมด้านหลังเก็บขึ้นศีรษะ
ทำมวยหลวมไว้ที่ระดับกลางศีรษะ แบ่งผมหนาประมาณ 2 นิ้ว ออกมา
พันรอบโคนของมวย เพื่อยกเชพผมให้ได้ระดับสวยขึ้น
ทรงผมรับปริญญา แบบสั้นทรงที่ 1
เพื่อไม่ให้ผมวอยดูรุงรัง ควรไดร์เส้นผมทั้งหมดให้เรียบ
หวีปาดเก็บเส้นผมทั้งหมดไปไว้ที่ด้านหลังใบหู สร้างเท็กซ์เจอร์ของเส้นผม
โดยการใช้เจลจับปลายเส้นผมแต่ละช่อให้ดูพริ้วขึ้น
แบบนี้ก็จะช่วยให้ผมซอยสไตล์เด็กแนว เป็นทรงผมที่เรียบร้อยได้ในวันรับปริญญา
ทรงผมรับปริญญา แบบสั้นทรงที่ 2
ผมทรงนี้เหมาะกับเนื้อผมที่สั้นและกุดมาก แต่ข้างหน้ามีจอนเส้นผมที่ยาว
ฉะนั้นควรเก็บผมจอนสองข้างเหน็บไว้ที่หลังใบหู แล้วไดรืผมด้านหลังศีรษะให้เกิดความทุย
ส่วนด้านหน้าไดร์ปาดไปด้านข้าง จากนั้นใช้แวกซ์จับเส้นผมให้เกิดริ้ว
ก็จะช่วยให้ดูเรียบร้อยแต่ยังคงบุคลิกที่คล่องแคล่วตามสไตล์ของทรงผมเดิมไว้ได้


ขอบคุณเนื้อหาดีดีและภาพสวยๆจากนิตยสาร Seventeen Graduation 2006

แฟชั่นทรงผมเจ้าสาว






ใกล้ถึงวันวิวาห์หวานมาทุกขณะ แต่งหน้าแบบไหนถึงจะเหมาะ ใช้สีเมคอัพโทนไหนถึงจะใช่ ส่วนผมจะรัด เกล้า มวย หรือยีแค่ไหนจึงจะสวย สารพัดปัญหาเหล่านี้ We มีทางแก้ ด้วยการเชิญ 14 ปรมาจารย์แห่งความงามทั้งหน้าผม มาแนะนำความสวยให้ถึงบ้าน
ทรงที่ 1 : ดรายผมด้านหน้าให้เรียบตรง เสยไปด้านหลัง หวีให้เรียบ จับผมตั้งแต่เหนือใบหูทีละช่อ หวีให้เรียบ ฉีดสเปรย์ แล้วค่อยๆ พับผมทีละช่อสลับซ้ายขวาจนสุดปลายผม
ทรงที่ 2 : ใช้เบบี้ลิสต์ม้วนผมทั้งศีรษะแล้วจับลอนผมด้านข้างตลบม้วนไล่ไปตามกรอบหน้าจนสุดปลายผม ตกแต่งดอกไม้
ทรงที่ 3 : แสกกลางและแบ่งผมด้านหน้าติดกิ๊บเก็บไว้ จากนั้นยีผมส่วนหลังให้สูงขึ้นเล็กน้อย หวีปิดให้เรียบ ถักเปียผมด้านหน้าที่แบ่งไว้ทั้งสองข้างให้ยาวเกือบถึงท้ายทอย รวบเก็บให้เรียบร้อยโดยขมวดเป็นก้นหอย แล้วติดเครื่องประดับเหนือมวยผม
ทรงที่ 4 : แสกข้างและรวบผมเปิดหน้า ม้วนผมขึ้นและพับเก็บโดยเหลือส่วนปลายผมไว้ รั้งด้วยกิ๊บดำ จากนั้นขมวดปลายผมที่เหลือให้เป็นช่อๆ เสร็จแล้วติดเครื่องประดับที่ด้านข้าง
ทรงที่ 5 : แบ่งผมเป็นสามส่วน ด้านหน้ายีผม แล้วยกสูงเล็กน้อย จากนั้นจับผมที่แบ่งไว้ไปด้านหลังทีละข้าง หวีให้เป็นแผ่นแล้วพาดลงมาตรงกลางศรีษะให้แน่น รั้งด้วยกิ๊บดำ แล้วตลบซ่อนปลายผมไว้ด้านใน ทำสลับซ้าย-ขวาไปจนหมดถึงท้ายทอย ตกแต่งด้วยดอกกุหลาบสีทอง
ทรงที่ 6 : รวบผมเป็นหางม้าสูง แบ่งผมช่อเล็กๆ ไว้ก่อนแล้วค่อยยีผมส่วนที่เป็นหางม้าทั้งหมด จากนั้นหวีและจัดให้ผมกลมได้รูปสวย ฉีดสเปรย์แล้วใช้กิ๊บดำรั้งให้แน่น ใช้เบบี้ลิสม้วนปลายผมที่เหลือให้กระดกขึ้น จับผมช่อเล็กที่แบ่งไว้บิดเป็นเกลียวตกแต่งด้านบนของผมที่ยีไว้ ใช้ดอกไม้ตกแต่งเพิ่มความหวาน

วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ทรงผมชายที่ทำแล้วหน้าเด็กขึ้น

ทรงผมชายที่ทำแล้วช่วยให้หน้าเด็กขึ้น























รูปภาพทรงผมชายทรงนี้ช่วยให้หน้าเด็กขึ้น หรือเพราะนายแบบเค้าหน้าเด็กอยู่แล้วก็ไม่รู้หลังจากตัดทรงนี้แล้วหน้าจะดูเด็กขึ้นหรือไม่ก็คงขึ้นอยู่กับโครงหน้าของเราเอง แต่คิดว่าทรงนี้ไม่น่าจะมีปัญหาไม่ว่าคุณจะมีโครงหน้ารูปสี่เหลี่ยม ทรงกลม หน้ารูปไข่ก็แล้วแต่ ก็น่าจะไว้ทรงนี้ได้อย่างไม่มีปัญหานะคะ







ทรงผมยาวสไตล์สาวญี่ปุ่น
























































ทรงผมยาว สไตล์สาวญี่ปุ่น

วันนี้
ขอเอาใจสาวผมยาว ด้วยการพาไปดู แบบทรงผม เก๋ๆ ของสาวญี่ปุ่น กัน ช่วงนี้อากาศเริ่มเย็น สาวๆ ที่ไว้ผมยาว ก็ได้เวลาปล่อยผมยาวสลวยให้ปกคลุมช่วงคอลงไปจนถึงบ่า... ลองมาดูกันว่า ทรงผมไหนเหมาะกับคุณนะคะ

แถมให้นิด กับวิธีเลือกทรงผมให้เข้ากับรูปหน้า
• หน้ารูปไข่ เป็นอะไรที่ perfect ค่ะ เพราะสามารถหาทรงผม ที่เข้ากับรูปหน้าได้ง่าย และหลากหลาย ไม่ว่าจะสั้นจะยาว แต่แบบที่สวยโดนใจสุดๆ คงต้องเป็นผมสไลส์ไล่ระดับ ในช่วงใดของใบหน้า ที่อยากให้คนอื่นมอง เช่น สไลซ์ใกล้โหนกแก้ม ริมฝีปาก หรือ คาง+ ควรหลีกเลี่ยง ทรงผมสั้นสไลซ์ไล่ระดับ ที่เพิ่มความสูงให้กับส่วนบนของศีรษะ เพราะจะทำให้ใบหน้าดูยาวไปค่ะ
• หน้าสี่เหลี่ยม สาวที่มีลักษณะหน้าผากกว้าง โหนกแก้มเยอะ หรือคางปาด จะเหมาะกับทรงผมที่เป็นลอนอ่อนๆ ทรงสไลซ์ ให้ไล่ระดับตามกรอบหน้า ถ้าเป็นทรงผมสั้นต้องเป็นปลายแหลมๆ จะดูสวยมากค่ะ ถ้าผมยาวให้สไลซ์ผมกรอมใบหน้าด้านข้าง เพื่อปิดขากรรไกร ไล่ลงมาด้านล่าง+ ควรหลีกเลี่ยง ทรงผมบ๊อบตัดตรง โดยเฉพาะที่มีความยาวระดับคาง และผมม้าทื่อๆ เพราะจะยิ่งทำให ้ใบหน้าดูเป็นเหลี่ยมมากขึ้นไปอีกค่ะ
• หน้ากลม เหมาะกับทรงผม ที่มีความยาวเลยคางลงไป และทรงผมที่เล่นระดับจากศีรษะด้านบน ลงด้านล่าง ซึ่งจะช่วยถ่ายเทน้ำหนัก และความกลมตันของใบหน้าให้เฉลี่ยออกไปด้านข้าง ทรงผมที่สวยน่ารัก คือผมดัดลอนอ่อนๆ ตั้งแต่ช่วงปลายติ่งหูลงไป สไลซ์ให้ยาวระดับไหล่+ ควรหลีกเลี่ยง ทรงผมดัดหยิกลอนเล็ก ที่มีความยาวระดับคาง ไม่ใช่ว่าสาวหน้ากลมห้ามรวบผมตึง โดยเด็ดขาดนะคะ ถ้าต้องการรวบผมตึง มีเทคนิคยกช่วงบนให้สูง (อารมณ์ตีโป่งผมช่วงบน แบบทันสมัยน่ะค่ะ มีอยู่ช่วงนึงเมื่อปลายปี 2004 ที่เหล่าดารา Hollywood ฮิตตีโป่งผมด้านหน้า แล้วปล่อยปลายผมยาว..ทรงนี้สาวหน้ากลมสามารถทำได้ และดูสวยเริ่ดเชียวค่ะ.. การที่ยกผมช่วงบนสูง เพื่อที่จะถ่ายน้ำหนักด้านข้างของใบหน้า ทำให้หน้าดูเพรียวยาวขึ้นได้ค่ะ
• หน้ายาว สำหรับผมตรง ควรเพิ่มความกว้างของใบหน้า ด้วยผมม้า หรือผมแสกข้าง นอกจากนี้ ทรงผมดัดหยิกมีคลื่นเล็กน้อย ถึงปานกลาง ก็สามารถเพิ่มความกว้าง ให้ศีรษะได้ค่ะ+ ควรหลีกเลี่ยง ทรงผมสั้นสไลซ์ที่สั้นเกินไป หรือเน้นน้ำหนัก ช่วงบนศีรษะ อย่างตีโป่งด้านหน้า อันนี้ไม่ควรค่ะ เพราะจะเน้นให้ใบหน้าดูยาวยิ่งขึ้นค่ะ
• หน้ารูปหัวใจ สาวที่มีรูปหน้าแบบนี้ คือหน้าผากค่อนข้างกว้าง หรือเป็นทรงสี่เหลี่ยม มีโหนกแก้มสูง ส่วนคางแคบ เล็ก แหลม ดวงตาของสาวๆ หน้ารูปหัวใจ จะเป็นจุดเด่นที่สุด บนใบหน้า สิ่งที่ต้องทำคือ เบนความสนใจจากโหนกแก้ม ไปยังส่วนอื่นๆ และพรางคางที่แหลมเล็ก ให้ดูกลมกลึง ได้สัดส่วนมากยิ่งขึ้น ถ้าต้องการตัดผมสั้น ควรให้ผมด้านบนยาว และสไลซ์ให้ดูเบา อย่าง ผมหน้าม้าปาดข้างที่ออกจะฮ็อตฮิตอยู่ สาวๆผมสั้นทรงนี้จะดูเปรี้ยว เฉี่ยว ทันสมัย ไฮโซววว์มากๆค่ะ ถ้าอยากไว้ทรงผมบ็อบระดับคาง หรือเคลียไหล่ เหมาะกับทรงผม ที่เซ็ตปลายสะบัด หรือสไลซ์ปลาย เพราะจะช่วยไม่เน้น ให้คางดูแหลมมากนักค่ะ ถ้าชอบผมยาว จะดูสวยโดดเด่นเป็นพิเศษ กับทรงผมดัดคลื่นลอนอ่อนๆ เพราะบดบังความสูงของโหนกแก้ม และพรางตาไม่ให้คางเล็กแหลม จะช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนหวานมากยิ่งขึ้นค่ะ+ ควรหลีกเลี่ยง ทรงผมม้าตัดตรง เพราะจะเน้นใบหน้าช่วงล่างทั้งคาง และโหนกแก้มให้ชัดเจนมากไปค่ะ ส่วนการสไลซ์ที่ตัดหยาบๆ ไม่บางเบา ก็จะทำให้โครงใบหน้าเราดูแข็งค่ะ
ขอบคุณที่มาข้อมูลเพิ่มเติมจาก www.vinegargirl.com

วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552


จากการที่ ผู้เขียนเครซี่ทรงผมสั้น เสียจนน่าเกรียดมานมนาน เพราะไอ้ความเป็นจริงก็ต้องการ ให้ใครๆมันคิดกันไป ตามบุญตามกรรม แล้วจะคิดมาถอนคืน ที่หลัง มันจะสนุกสุดปลื้ม กันตามไสตล์บล็อก แฟชั่นแอนเอนเตอร์เทนเมนท์ รูปแบบใหม่ มากกว่า ใช่เลยวันนี้นอกจากจะอัพเดท ผมสั้นดารา ที่บอกว่ามันแรงปีหน้า ในหน้า เทรนด์การแต่งกายผู้หญิง 2010 แล้วก็จะหยิบเอาประวัติของ หนูทรงผมสั้นแบบบ๊อบ มาแฉเล็กๆว่า ทำไม? สาวเซเลบ กะอีก 108 ดารา และนักประกาศข่าวแนวหน้า เขาหูเบาหรือ มีวิชั่น ( vision ) กันแน่ แห่สั้น แห่บ๊อบกันเต็มบ้าน มันมีอะไร เรียนแบบหรือ? มาเลยจะได้ไม่เสียที่นั่ง เตรียมปูเสื่อฟัง

ประวัติทรงผมสั้น ต้องย้อนเรื่องนี้ไปสักช่วงปี 1920 นั้นบอกได้ตามตรง ผู้หญิงเธอก็ยัง นิยมชมชอบกับการไว้ผมยาว ทำงานอยู่กับบ้าน ผู้ชายต้องออกไปใช้แรงงาน ดังนั้นก่อนช่วงนี้ มันไม่มีผมสั้น หรือ ผมบ๊อบ bob แหลมออกมามาก ในสังคมให้เห็นกันนักหรอก โดยช่วงปีนี้หากเราหยิบ Time line มาเทียบจะรู้ว่ามันหลัง สงครามโลกครั้งที่ 1 และทางยุโรปมี Adof Hitler ก้าวเข้ามาเป็นผู้นำ จะได้เข้าใจสภาพความกดคัน ทางสังคมและเศรษฐกิจ ในช่วงนี้ประมาณ 1918 Vernon Castle ซึ่งเป็นนักเต้นรำ [ ล่างซ้าย] ก็ได้ทำผมบ๊อบสั้นที่มีชื่อว่า Castle bob ออกมาให้เห็น ส่วน Ina Claire ก็เป็นผมสั้นอีกแนวที่ออกอีกแนว ที่เริ่มเห็นกันแล้ว
แต่สังคมหัวโบราณมันฝังลึก ความยากลำบาก ในการยอมรับจากพ่อแม่และสามี การรับเอาทรงผม แบบนี้เข้ามามัน ก็ยังเป็นปัญหาใหญ่ ทั้งในครอบครัว และเหล่าวนักวิจารณ์ ทางด้านแฟชั่น เพราะหลายๆคน มองว่าทรงผมสั้น มันเป็นแค่ของเล่นฉาบฉวย พัดมาแล้วก็จากไป

แต่เมื่อเข้าปี 1925 การตระหนักในเรื่อง เสรีภาพสตรี กระแสความต้องการ มีไสตล์การแต่งกาย ที่ไม่เหมือนใครๆ ไม่ต้องการจำเจ มันมาแรง กระแสผมสั้นที่แตกต่าง กลับกลายเป็น แฟชั่นทรงผมที่โดดเด่นที่สุด คือ การตัดผม ให้มีรูปแบบแปลกใหม่ ไม่เหมือนใครๆ แม้จะในราคา ที่สูงมากในสมัยนั้น โดยผู้หญิงจะยอมใช้เงินมากๆ แลกกับผมสั้นแปลกใหม่ ให้กับตนเองเสมอ ตัวเองจะได้ไม่เหมือนใครๆ
ในสมัยนี้ก็เช่นกัน การเปลี่ยนทรงผม จากผมยาวมาเป็น ทรงผมสั้น โดยเฉพาะบ๊อบ ผู้หญิงต้องการบอกอะไร กับ สังคมรอบข้างบ้าง?

คุณเข้าใจการสื่อสารแบบ ฟ้องด้วยภาพ ดีมากน้อยเพียงใด ทรงผมสั้น มันเป็นภาพลักษณ์ การบอกขั้นต้นว่า ฉันต้องการมีชีวิตใหม่วะ โลกใหม่ที่สดใส มันรอฉันอยู่ นานแล้ว ฉันได้เริ่มเปิดรับกับทรงผมสวยๆนี้ ตั้งแต่จ้องดูในกระจก ที่ร้านตัดผมแล้ว ฉันสุขมากๆวันนั้น ฉันเหน็จเหนื่อย และเบื่อการซ้ำซากมานาน ต้องการอิสระ ฉันจะเป็นตัวของตัวเอง นี่คือชีวิตใหม่ของฉัน
Note: จากความยิ่งใหญ่ในการตัดผม ขอน้อมให้ บทเพลงที่เหมาะสุดๆ กับสาวประกาศอิสระ คือ I want to break free ( Queen ) กลัวคุณหงุดหงิด
และ wind of change ( Scorpion )ที่ใช้เป็นตัวแทนของการทุบ กำแพงเบอร์ลิน ซึ่งตอนนี้คุณได้ตัดสินใจ หลุดจากสิ่งเดิมๆ การเปลี่ยน ( Paradigm) อันยิ่งใหญ่ มาในลุคใหม่
ดังนั้น ทรงผมสั้น แบบบ๊อบ ทรงนี้มันเหมาะกับไลฟ์ไสตล์ของคนหัวใหม่เท่านั้น แล้วคุณละ? พร้อมจะก้าวออกมามีอิสระ ในการคิดการทำ หรือยัง จะประกาศอิสระภาพ เมื่อใดให้โลกรู้ เหมือนสาวท่านอื่นๆ
สาวที่ได้หลงคำ โฆษณาชวนฮา ชวนสวย และชวนเชื่อ หากต้องการ เป็นสาวที่สวยไฮเทค ในเรื่องเส้นผม ก็อย่าลืมไปอ่าน กันนะคะ

กินผลไม้ดีกว่า



กิน !! ... เพื่อผิวสวยๆ ของคุณ


อย่าลืมให้ความสำคัญกับการรับประทานผักและผลไม้ ในปริมาณที่เพียงพอ อาหารที่มีประโยชน์จะช่วยบำรุงดูแลผิวของเราได้


ส้ม - เป็นผลไม้ที่เต็มไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ เลยมีประโยชน์ช่วยบำรุงให้ผิวของเราดูสดใสอ่อยวัย

มะนาว - อุดมไปด้วยวิตามินซี ซึ่งเป็นวิตามินหลักของร่างกายที่มีผลต่อสภาพผิว หากร่างกายขาดวิตามินซี ผิวของเราก็จะดูเหนื่อยล้า แห้งกร้าน หมองคล้ำ ไม่เปล่งปลั่ง

แครอท - มีสารเบต้าแคโรทีนที่จะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ซึ่งเป็นอาหารจำเป็นที่ช่วยบำรุงผิว

กีวี - ผลไม้นอกชนิดนี้ประกอบด้วยวิตามินซี ที่มีประโยชน์ต่อการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ผิวของเราดูชุ่มชื้นหรือว่าแห้งกร้าน

อะโวคาโด - ผลไม้นอกอีกหนึ่งชนิดที่อุดมไปด้วยวิตามินซี การรับประทานอะโวคาโด 1 ผลต่อวัน จะทำให้ร่างกายได้รับวิตามินอีในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวันเลยทีเดียว
โยเกิร์ต - การรับประทานนมเปรี้ยวหมักจะช่วยในเรื่องการขับถ่าย ซึ่งมีผลต่อผิวพรรณของเราเหมือนกัน

เมล็ดถั่วต่างๆ - ประกอบไปด้วยโปรตีน ซึ่งเป็นสารอาหารของผิวสวยค่ะ

งา - อุดมไปด้วยวิตามินบี สังกะสี และโปแตสเซียม ที่ช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิวใหม่ให้ผิวดูสดใสอ่อนวัย

ผักโขม - เหมือนที่ป๊อปอายกินไงคะ ผักชนิดนี้เต็มไปด้วยธาตุเหล็ก ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งอมชมพูดูมีสุขภาพดี

ปลาอุดมไขมัน - เช่น ปลาแซลมอน ปลาพกวนี้จะมีน้ำมันปลาที่ช่วยให้ผิวเต่งตึงค่ะ
ที่มา ... spicy

เผยวิธีออกกำลังกายง่ายๆ ในวัยเรียน

แนะผู้ปกครองไม่ใช้วิธีบังคับ เน้นให้เด็กเล่นอย่างสมัครใจ

การออกกำลังกายในวัยเรียนช่วยให้เด็กๆ สามารถเคลื่อนไหว สนองความต้องการซุกซนและความไม่ยอมอยู่นิ่ง เป็นการฝึกความคล่องตัวและความอ่อนตัวของส่วนต่างๆ ในร่างกาย ทั้งยังทำให้เด็กรู้จักควบคุมกล้ามเนื้อในการเคลื่อนไหวได้ดี

นอกจากนี้การออกกำลังยังช่วยให้เด็กเล็กมีการตัดสินใจดีขึ้น ประสาทและกล้ามเนื้อมีความสัมพันธ์กัน และเป็นการปูพื้นฐานทักษะการเคลื่อนไหวในขั้นยากๆ เมื่อเติบโตขึ้นต่อไป

ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำอย่างง่ายๆ สำหรับการออกกำลังกายของเด็กวัยเรียนในแต่ละช่วงอายุ

เด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี

การออกกำลังกายในวัยนี้ควรมุ่งให้เด็กมีความเพลิดเพลิน และให้เด็กได้ฝึกหรือเล่นด้วยความสมัครใจ พร้อมอธิบายถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการฝึก ไม่ควรใช้วิธีบังคับ ควรจัดให้เท่าที่เด็กต้องการ โดยเน้นที่ความสนุกสนานของเด็กเป็นใหญ่ ไม่ควรทำเพื่อจุดประสงค์ของพ่อแม่หรือโค้ช การตั้งความหวังสูงมากหรือการมุ่งฝึกเพื่อเอาชนะเพียงอย่างเดียวล้วนเป็นผลเสียต่อสุขภาพเด็กทั้งสิ้น เพราะการทำงานของระบบประสาทและการประสานงานของกล้ามเนื้อมีน้อย จึงควรให้เด็กได้ออกกำลังกายเบาๆ ง่ายๆ ไม่ต้องใช้อุปกรณ์มากนัก เช่น การวิ่ง การเล่นเกม ยิมนาสติก การบริหารประกอบดนตรี การเล่นที่ฝึกความคล่องแคล่วและความชำนาญแบบง่ายๆ เช่น ปีน ไต่

เด็กอายุ 11-14 ปี

การออกกำลังกายในวัยนี้เพื่อเพิ่มความคล่องแคล่ว ปลูกฝังให้มีน้ำใจนักกีฬา และให้มีการแสดงออกถึงความสามารถเฉพาะตัว ส่งเสริมให้เด็กเล่นกีฬาที่หลากหลายเพื่อให้มีการพัฒนาร่างกายทุกส่วน โดยใช้กิจกรรมหลายๆ อย่างสลับกัน เช่น ฟุตบอล แชร์บอล วอลเลย์บอล ปิงปอง แบดมินตัน ยิมนาสติก ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน แต่ต้องหลีกเลี่ยงการปะทะในกิจกรรมที่ต้องสัมผัสกับฝ่ายตรงข้าม และที่เป็นข้อห้ามคือ การชกมวย และการออกกำลังกายที่ต้องใช้ความอดทน เช่น วิ่งระยะไกล (ระยะทาง 10 กิโลเมตรขึ้นไป) การออกกำลังกายในแต่ละวันควรได้จากการฝึกเล่นกีฬาวันละ 2 ชั่วโมง สลับกับการพักเป็นระยะๆ

เด็กอายุ 15-17 ปี

การออกกำลังกายในวัยนี้จะมีความแตกต่างระหว่างเพศ ผู้ชายจะออกกำลังกายเพื่อให้เกิดกำลัง ความแข็งแรง รวดเร็ว และความอดทน เช่น การวิ่ง ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน เล่นบาสเกตบอล วอลเลย์บอล โปโลน้ำ ฟุตบอล กระโดดสูง กรรเชียง ส่วนผู้หญิงจะเน้นการออกกำลังกายประเภทที่ไม่หนัก แต่ทำให้ร่างกายแข็งแรงและเสริมสร้างรูปร่างทรวดทรง เช่น ว่ายน้ำ ยิมนาสติก และวอลเลย์บอล เป็นต้น ให้ปฏิบัติเป็นกิจวัตรประจำวัน วันละ 1 ชั่วโมง โดยใช้การออกแรงแบบหนักสลับเบา





ที่มา : หนังสือพิมพ์โลกวันนี้

เคยรู้สึกไหมว่าตัวเองมีสมาธิและความจำสั้น “เอ๊ะ! เราแก่ขึ้นหรือทำงานหนักไปหรือเปล่า”

หลายคนแอบสงสัย จริงๆ ความวิตกกังวลและความเครียดจากการทำงานก็เป็นสาเหตุส่วนหนึ่ง แต่สุดสัปดาห์มีเคล็ดลับดี ๆ มาบอกถ้าไม่อยากเป็นปลาทอง

ลองกินอาหารบำรุงสมองตามคำแนะนำของเอกซ์เพิร์ท PROFILE : เชฟชุมพล แจ้งไพร

* Executive Chef ร้านอาหารและโรงเรียนสอนทำอาหารบลู เอเลเฟ่นท์ (Blue Elephant Cooking School and Restaurant) สาขาประเทศไทย และ Cooperate Chef ของบลู เอเลเฟ่นท์ทุกสาขาทั่วโลก (จำนวน 13 สาขา)

* เลขาธิการสมาคมพ่อครัวไทย และที่ปรึกษากิติมาศักดิ์ สมาคมภัตตาคารไทย

* สุดยอดแฟนพันธุ์แท้ ชนะเลิศเรื่องอาหารไทย จากรายการแฟนพันธุ์แท้

* เจ้าของรางวัล The Best Young Chef in BANGKOK of Traditional and Innovation โดย CONDE NEST Magazine (USA)

* พิธีกรายการ Cooking Society ทาง H+ ChannelChef’s Recommend“

หากต้องการเพิ่มพลังงานให้สมอง

สิ่งสำคัญคือต้องรับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อ รวมถึงของว่างระหว่างวัน ที่สำคัญอย่างอดอาหารเช้าเด็ดขาด เพราะอาหารเช้าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน สามารถช่วยให้เราทำงานผิดพลาดน้อยลงและมีความจำดีขึ้น การกินอาหารเช้าที่มีประโยชน์ช่วยป้องกันอาการซึมเศร้าและลดความเครียดได้ เมนูแนะนำคือ ไข่ดาวน้ำที่อุดมด้วยโอเมก้า 3 กับขนมปังธัญพืชปิ้ง 1 แผ่น ตามด้วยน้ำส้มคั้นสด 1 แก้ว แค่นี้สมองก็จะปลอดโปร่ง และทำงานได้คล่องแคล่วขึ้น“ ช่วงครึ่งวันเช้าเหมาะกับการทำงานที่ต้องใช้ความคิดและสมาธิสูง เพราะร่างกายยังสดชื่น สมองปลอดโปร่ง ช่วยให้คิดอะไรใหม่ๆ ได้ไวและทำงานเสร็จเร็ว สำหรับอาหารกลางวัน แนะนำเมนูสลัดไก่ย่างโรยด้วยเมล็ดธัญพืชราดน้ำมันมะกอกและแต่งหน้าด้วยมะนาว เพราะเนื้อไก่อุดมไปด้วยกรดอะมิโนจะช่วยการทำงานของระบบประสาท ขณะที่เมล็ดพืชต่างๆ ก็อุดมไปด้วยไขมันจำเป็นที่ช่วยให้ความคิดลื่นไหล “ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่าคนเราจะทำงานได้ดีในช่วงเช้าและหลัง 5 โมงเย็น แต่พอช่วงบ่ายคนเราจะเริ่มรู้สึกล้าคิดอะไรได้ช้าลง เหมาะกับทำงานที่ไม่ต้องใช้ความคิดริเริ่มเท่าไหร่ ถ้าง่วงอาจหาอาหารว่างที่ไม่มีรสหวาน หรือเลือกอาหารว่างที่ทำให้สมองแล่น จำพวกเมล็ดธัญพืชและผลเบอร์รี่ที่มีวิตามินและคุณค่าทางอาหารสูง เมนูแนะนำคือ โยเกิร์ตไขมันต่ำถ้วยเล็กๆ 1 ถ้วย เมล็ดธัญพืช เช่น ถั่วลิสง เม็ดทานตะวัน 1 ช้อนชา สำหรับคนที่ทำงานรอบดึกแนะนำเมนูอาหารเย็นเป็นข้าวซ้อมมือกับปลาแซลมอนย่างและผักนึ่ง หรือผัดเต้าหู้กับข้าวซ้อมมือน้ำมันปลา โดยเฉพาะในน้ำมันปลาแซลมอนมีโอเมก้า 3 อยู่มาก สุดท้ายอย่าลืมเพิ่มคุณค่าวิตามินด้วยการรับประทานผัก และคาร์โบไฮเดรตจำพวกข้าวซ้อมมือ ”DO & DON’T

*กินข้าวกล้องเป็นประจำทุกวัน ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา เหมาะกับผู้ที่ต้องนั่งโต๊ะนานๆ เพราะในข้าวกล้องมีวิตามินบีและอีสูง จึงช่วยเพิ่มพลังสมองในการทำงาน แถมป้องกันโรคสมองเสื่อมในอนาคตได้ด้วย...ว้าว

* วิตามินบีหรือที่เรียกว่า “สารให้ความกระปรี้เปร่า” มีอยู่ในข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท จมูกข้าว ถั่ว เมล็ดทานตะวัน นม กล้วย ส้ม เป็นต้น

* วิตามินซีที่อยู่ในผักและผลไม้ เช่น ฝรั่ง สตรอเบอร์รี่ น้ำส้มคั้น มะละกอ บร็อคโคลี กะหล่ำปลี ถั่วงอก ฯลฯ มีส่วนสำคัญในการสร้างฮอร์โมนระงับความเครียดได้ * น้ำมันปลา Omega-3 ในเนื้อปลาแซลมอน ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ไขข้ออักเสบ ช่วยลดอาการปวดรอบเดือนและระงับอาการซึมเศร้าเบื่อหน่ายจากการทำงานได้ด้วย

* ผักใบเขียวอย่างตำลึง คะน้า เป็นอาหารกลุ่มโครินที่มีวิตามินบี ซึ่งช่วยเพิ่มความจำและสมาธิ

* ดื่มน้ำ 8 แก้วต่อวันจะทำให้ร่างกายสดชื่น สมองแจ่มใส ช่วยป้องกันอาการอ่อนเพลีย และตะคริว ทั้งยังช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใสได้แม้อยู่ในห้องแอร์

* แนะนำให้ดื่มน้ำกระเจี๊ยบหรือน้ำมะนาวในช่วงบ่ายที่กำลังง่วง เพราะมีทั้งรสเปรี้ยวและหวาน มีวิตามินซีสูง แถมมีธาตุเหล็กอีกด้วย สำหรับน้ำใบบัวบก จริงๆ แล้วเป็นยาบำรุงแก้อ่อนเพลีย ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย เสริมสร้างความจำและช่วยให้สมองทำงานได้ดี

* ทานของหวานหลังอาหารกลางวันช่วยเพิ่มความรู้สึกสดชื่นได้ยาวนานขึ้น การทานรสเปรี้ยวและหวานช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นในร่างกาย ถ้าตอนบ่ายง่วงอาจกินผลไม้รสเปรี้ยว อย่างมะม่วงหรือผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ต่างๆ เพื่อเพิ่มความกระตือรือร้นได้

* ถ้าทำงานที่ต้องใช้สายตานานๆ ต้องมีถั่วติดโต๊ะไว้ เพราะถั่วมีวิตามินบี2 บำรุงสายตาได้ดี

* ผู้หญิงช่วงมีรอบเดือน ร่างกายจะขาดธาตุเหล็ก จนทำให้เหนื่อยง่าย หงุดหงิด ไม่มีสมาธิ แนะนำให้ทานวิตามินซีควบคู่ไปกับการรับประทานเหล็ก จะเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กเข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น

* ชาเขียวช่วยทำให้ลมหายใจสดชื่นและช่วยให้สิ่งแวดล้อมรอบตัวสะอาดปลอดโปร่งขึ้น เพราะถุงชาช่วยลดมลพิษภายในอาคาร ซึ่งเป็นอาการป่วยที่มีสาเหตุมาจากการแพ้อากาศภายในอาคาร เช่น โรคภูมิแพ้ ผืนแดงตามร่างกาย เป็นต้น

* ไม่ควรรับประทานอาหารรสจัดในมื้อเช้า เพราะตื่นเช้าขึ้นมาร่างกายยังอ่อนแอปรับตัวไม่ทัน ยิ่งถ้าตอนเช้าคุณมีประชุมด้วยละก็อาจเดือดร้อนเพราะท้องเดินได้ * จริงๆ แล้ว ผู้ที่ไม่มีเวลารับประทานอาหารเช้าหรือติดดื่มกาแฟ ควรดื่มน้ำผลไม้ 1 แก้ว แล้วค่อยดื่มกาแฟตาม เพราะการดื่มกาแฟโดยที่ไม่มีอะไรรองท้องจะช่วยเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าได้ไม่นาน หลังจากนั้นจะกลับมาง่วงเหมือนเดิม และไม่ควรดื่มกาแฟเกิน 3 แก้วต่อวัน และอย่าลืมว่าครีมกับน้ำตาลทำให้อ้วนได้

* ทางที่ดีหลีกเลี่ยงชาและกาแฟ โดยเฉพาะในช่วงเย็นถึงกลางคืน เพราะอาจทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ ส่งผลให้สมองพักผ่อนไม่เพียงพอ ผู้ที่ดื่มชา กาแฟ และสุรา เป็นประจำจะทำให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้น้อยกว่าที่ควร

* สำหรับมื้อเที่ยงควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มและมันจัด เพราะอาหารที่มีไขมันเยอะจะเกิดการสะสม ส่งผลให้ร่างกายเคลื่อนไหวช้า และก่อให้เกิดอาการหดหู่ ขาดความคล่องตัว

* เป็นความเชื่อผิดๆ ที่ว่ากินข้าวเหนียวจะทำให้ง่วง ในความเป็นจริง ข้าวเหนียวย่อยยากและใช้พลังงานสูงในการย่อย จนทำให้ร่างกายอ่อนเพลียหลังจากกินไปสักพัก

4 อาหารต้านไมเกรน


4 อาหารต้านไมเกรน



คุณเคยมีอาการปวดหัวแบบไมเกรนไหมค่ะ



อาจจะมีอาการปวดตุ๊บๆ แถวขมับ หรืออาจปวดบริเวณเบ้าตาเหมือนหัวใจเต้นตุ๊บๆ และมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย ซึ่งเป็นอาการปวดที่สร้างความรำคาญและทรมานให้กับผู้ป่วย
ไมเกรน มักจะพบมากในช่วงวัยรุ่นอายุ 10-25 ปี แต่ก็พบในเด็กอายุ 7-8 ขวบได้ ยิ่งอายุมากขึ้น อาการก็จะลดน้อยลง
การกินอาหารที่จำเป็นบางอย่างช่วยป้องกันไมเกรนได้ ทั้งวิตามินและเร่ธาตุที่สำคัญได้แก่
กรดไขมันโอเมก้า-3 จากปลาทะเล จำพวกปลาทู แซลมอน ทูน่า และซาร์ดีนช่วยให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ช่วยบำรุงระบบประสาท และป้องกันไมเกรนได้
แมกนีเซียม การวิจัยพบว่ากินแมกนีเซียม 200 มิลลิกรัมเสริมทุกวัน ช่วยลดความถี่ของอาการไมเกรนลง หรืออาจจะกินจากอาหารก็ได้ โดยแมกนีเซียมมีมากในเมล็ดธัญญพืชเต็มรูป เช่น ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโอ๊ต และผักใบเขียว เช่น ปวยเล้ง ผักโขม บรอกโคลี คะน้า
แคลเซียมและวิตามินดี ช่วยป้องกันไมเกรนได้เช่นกัน พบมากในผักใบเขียว และถั่ว ส่วนในนมถึงแม้มีแคลเซียมสูง แต่เป็นตัวนำไมเกรนชั้นยอด จึงควรหลีกเลี่ยง
นอกจากนี้จากงานวิจัยยังพบว่า การกิน ไรโบฟลาวิน หรือ วิตามินบี 2 ทุกวัน จะช่วยลดจำนวนครั้งการเป็นไมเกรนลง 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งพบมากในธัญพืช ข้าวซ้อมมือ และมันฝรั่ง
ส่วนหนุ่มสาวที่ยังถูกไมเกรนรบกวน หากได้นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างเต็มที่ก็จะช่วยลดโอกาสการเกิดอาการนี้ได้เช่นกันค่ะ
ที่มา : ข้อมูลจากเวปไซต์ชีวจิต

เผย 28 เคล็ดลับยาสมุนไพรรักษาโรค



เผย 28 เคล็ดลับสมุนไพรรักษาโรค
แนะ! กระเทียม ช่วยลดไขมันในหลอดเลือดได้
การใช้สมุนไพรเป็นยาบำบัดโรคนั้นอาจใช้ ในรูปยาสมุนไพรเดี่ยวๆ หรือใช้ในรูปตำรับ ยาสมุนไพร ปัจจุบันตำรับยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณที่กระทรวงสาธารณสุขอนุญาตให้ใช้รักษาโรคได้มีทั้งหมด 28 ขนาน เช่น
ยาจันทน์ลีลา ใช้แก้ไข้ แก้ตัวร้อน
ยามหานิลแท่งทอง ใช้แก้ไข้ แก้หัด อีสุกอีใส
ยาหอมเทพพิจิตร แก้ลม บำรุงหัวใจ
ยาเหลืองปิดสมุทร แก้ท้องเสีย
ยาประสะมะแว้ง แก้ไอ ขับเสมหะ
ยาตรีหอม แก้ท้องผูกในเด็ก ระบายพิษไข้
สมุนไพรที่นิยมใช้เดี่ยวๆ รักษาอาการของโรคที่พบบ่อยๆ ได้แก่
สมุนไพรแก้ไข้ ฟ้าทะลายโจร บอระเพ็ด
สมุนไพรแก้ท้องเสีย กล้วยน้ำว้า ทับทิม ฝรั่งดิบ
สมุนไพรแก้ไอ มะแว้ง ขิง มะนาว
สมุนไพรแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขมิ้นชัน แห้วหมู กระชาย
สมุนไพรช่วยให้นอนหลับ ขี้เหล็ก ดอกบัวหลวง หัวหอมใหญ่
สมุนไพรแก้เชื้อรา กระเทียม ข่า ชุมเห็ดเทศ
สมุนไพรแก้เริม เสลดพังพอนตัวเมียและตัวผู้
สูตรสมุนไพรบำรุงผิวหน้า
1.ว่านหางจระเข้ : บำรุงผิว ป้องกันฝ้า ลบรอยจุด ด่างดำ รักษาสิว
2.แตงกวา : สมานผิว ลบรอยเหี่ยวย่น
3.มะเขือเทศ : สมานผิว ลดรอยเหี่ยวย่น จุดด่างดำ
4.ขมิ้นสด : บำรุงผิวหน้าผุดผ่องสดใสอ่อนวัย และช่วยให้สิวยุบเร็ว
5.กล้วยน้ำว้าสุก : บำรุงผิวนุ่มเนียนอ่อนวัย
6.หัวไชเท้า : ช่วยลดรอยฝ้าและกระให้จางหาย
สมุนไพรที่มีสารต้านเซลล์มะเร็ง
มะกรูด ผักแขยง ขึ้นฉ่าย บัวบก ผักชีฝรั่ง กระชาย ข่าใหญ่ มันเทศ ใบมะม่วง มะกอก เบญจมาศ แขนงกะหล่ำ แตงกวา พริกไทย ดีปลี โหระพา กะเพรา ใบตะไคร้ ถั่ว ผักแว่น ผักขวง เพกา ช้าพลู (ชะพลู) ลูกผักชี เร่ว เหงือกปลาหมอ ขมิ้นอ้อย หัวหอมแดง หอมหัวใหญ่ กระเทียม ฯลฯ
สมุนไพรที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ (วิตามินเอ ซี อี)
วิตามินเอสูง ได้แก่ ใบยอ ใบย่านาง ตำลึง ผักกูด มะระ กระสัง ผักแพว ผักชีลาว ผักแว่น ผักบุ้ง เหลียงกระเจี๊ยบแดง แมงลัก ชะอม พริกชี้ฟ้าแดง แพงพวย ขี้เหล็ก ฯลฯ
วิตามินซีสูง ได้แก่ มะขามป้อม ฝรั่ง มะปราง ขนุน ละมุด มะละกอ มะกอก ส้ม มะขาม ลูกหว้า พุทรา ฯลฯ
วิตามินอีสูง ได้แก่ พวกธัญพืชต่างๆ เช่น งาดำ ข้าวซ้อมมือ จมูกข้าว ข้าวโพด ฯลฯ
เบตาแคโรทีนสูง ได้แก่ แคร์รอต ฟักทอง แค กะเพรา แพชั่นฟรุต ขี้เหล็ก ผักเชียงดา ยอดฟักข้าว ผักแซ่ว ฯลฯ
สมุนไพรไทยและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติที่แสดงฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็ง
พืชสมุนไพร บวบขม จำปีป่า ปลาไหลเผือก ทองพันชั่ง เจตมูลเพลิงแดง ราชดัด ฝาง แสมสาร ติงตัง ขมิ้นต้น ฟ้าทะลายโจร กระเทียม ประยงค์ รงทอง ข่อย ขมิ้นชัน แกแล สมอไทย ขันทองพยาบาท
เครือเถาวัลย์ ดองดึง โล่ติ้น เจตมูลเพลิงขาว มังคุด โทงเทง ทับทิม จำปา ไพล ปรู จำปีหลวง พลับพลึง สบู่ดำ แพงพวยฝรั่ง สีเสียด กะเม็ง สมอพิเภก
สมุนไพรกับโรคความดันโลหิตสูง
ในการรักษาโรคความดันโลหิตสูงจะต้องได้รับการควบคุมดูแลจากแพทย์แผนปัจจุบัน และในการนำสมุนไพรมาใช้ใน ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงจะต้องระมัดระวัง และจะต้องตรวจวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอจากแพทย์แผนปัจจุบัน สมุนไพรที่ใช้ขับปัสสาวะมีดังนี้
หญ้าหนวดแมว ในใบของหญ้าหนวดแมวจะมีเกลือโพแทสเซียมปริมาณ 0.7-0.8% ใช้ใบอ่อนเป็นยาขับปัสสาวะที่มีประสิทธิภาพสูง เนื่องจากเกลือโพแทสเซียมในใบอ่อนจะมีปริมาณสูง ตามตำรายาไทยใช้แก้โรคปวดตามสันหลังและเอว ใช้ขับนิ่วและลดความดันโลหิตสูง
ข้อควรระวัง
1.เนื่องจากหญ้าหนวดแมวมีเกลือโพแทสเซียมสูงจึงไม่ควรใช้กับผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ
2.ควรใช้การชง ไม่ควรใช้การต้ม และควรใช้ใบอ่อน เพราะใบแก่จะมีเกลือโพแทสเซียมละลายออกมามาก มีฤทธิ์กดหัวใจ ทำให้หายใจผิดปกติได้
3.ควรใช้ใบตากแห้ง ถ้าใช้ใบสดจะมีอาการคลื่นไส้และหัวใจสั่น
4.ไม่ควรใช้หญ้าหนวดแมวคู่กับยาแอสไพริน เพราะจะทำให้ยามีฤทธิ์ต่อหัวใจมากขึ้น
5.ก่อนการใช้ควรปรึกษาแพทย์แผนปัจจุบันและได้รับการดูแลอย่างสม่ำเสมอเพื่อความปลอดภัย
หญ้าคา ในรากหญ้าคามีสารอะรันโดอินและไซลินดริน ทั้งกรดอินทรีย์หลายชนิด ตามตำรับยาไทยใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ขัดเบา โดยต้นหญ้าคาสด 40-50 กรัม (น้ำหนักแห้ง 10-15 กรัม) หรือ 1 กำมือ ต้มดื่มก่อนอาหารวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 1 ถ้วยชา (75 มิลลิลิตร)
หมายเหตุ การใช้สมุนไพรขับปัสสาวะทุกชนิดต้องปรึกษาแพทย์แผนปัจจุบัน เนื่องจากการใช้ยาขับปัสสาวะเกินขนาดอาจจะเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยได้
สรรพคุณสมุนไพรที่ช่วยลดไขมันในหลอดเลือด
1.น้ำมันเมล็ดดอกคำฝอย จากการวิจัยในสัตว์ทดลองและในคนพบว่าน้ำมัน เมล็ดดอกคำฝอยช่วยทำให้ปริมาณคอเลส เตอรอลในเลือดลดลงและลดการอุดตัน ไขมันในหลอดเลือดได้
2.กระเทียม มีสารอัลลิซินที่มีฤทธิ์ลด ไขมันในหลอดเลือดได้ ซึ่งจะใช้กระเทียม ประมาณ 5-7 กลีบ รับประทานหลังอาหารทุกมื้อ เป็นเวลา 1 เดือน ปริมาณคอเลส เตอรอลในเลือดจะลดลง
3.ถั่วเหลือง ในถั่วเหลืองจะมีกรด อะมิโน เลซิติน และวิตามินอีสูง จะช่วยลดระดับไขมันในหลอดเลือด
การปฏิบัติเพื่อป้องกันการเกิดโรคเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ
1.การรับประทานอาหารที่มีไขมันน้อย เช่น ปลา ผัก ผลไม้ อาหาร สมุนไพร ไม่รับประทานอาหารรสเค็มจัด
2.การออกกำลังกายสม่ำเสมอ
3.การพักผ่อนให้เพียงพอ
4.ตรวจร่างกายประจำทุกปี
สรุปรายชื่อสมุนไพรที่ควรใช้ในรูปอาหารกับโรคเบาหวาน ได้แก่
บอระเพ็ด มะระไทย ลูกใต้ใบ หญ้าใต้ใบ มะแว้ง เครือมะแว้ง ต้นตำลึง ฟ้าทะลายโจร สะตอ ว่านหางจระเข้ แมงลัก อินทนิลน้ำ หอมใหญ่ กระเทียม หญ้าหนวดแมว เตยหอม ฝรั่ง ช้าพลู ขี้เหล็ก สะเดา ผักบุ้ง สักกำแพงเจ็ดชั้น มวกแดง-ขาว ชะเอมไทย รากลำเจียก รากคนทา
หมายเหตุ - การรักษาโรคเบาหวานควรปรึกษาแพทย์แผนปัจจุบัน เพราะการใช้ยาลดระดับน้ำตาลร่วมกับยาแผนปัจจุบันอาจจะทำให้น้ำตาลลดลงมากเกินไป เป็นอันตรายได้ จึงแนะนำให้ใช้สมุนไพรในรูปของการปรุงอาหารในชีวิตประจำวัน
สมุนไพรกับโรคเอดส
รายงานการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสมุนไพรรักษาโรคเอดส์มีการศึกษาเกี่ยวกับสมุนไพรหลายชนิด
โปรตีนจากระหุ่ง แม้ว่าจะมีพิษแต่ก็มีผู้พบว่าส่วนหนึ่งของโปรตีน Ricin ซึ่งเป็นพิษคือ dg A สามารถจับ antibody ของ HIV ซึ่งทำให้ไปยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัส โดยมีผลต่อเซลล์ปกติเพียง 1/1,000 ของเซลล์ที่มีไวรัส
การค้นพบนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นในการพบยาที่ป้องกันหรือยืดเวลาในการเกิดโรคเอดส์
Hypericum spp.
พืชสกุลนี้บ้านเรามี บัวทอง (Hyperi cum garrettii Craib) มีผู้สกัดสาร Hypericin และ Pseudohypericin จากพืชนี้ พบว่ามีฤทธิ์ป้องกันการขยายตัวของไวรัสเอดส์ Castanospermun australe
Tyms และคณะได้พบว่าแอลคาลอยด์ 3 ชนิด มีผลยับยั้งเอนไซม์ที่ช่วยให้ไวรัสจับกับ T-cells ซึ่งสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย และแอลคาลอยด์ที่ให้ผลดีที่สุดคือ Castanospermine จาก Castanospermum australe ไม้ยืนต้นของออสเตรเลีย และสารนี้มีพิษน้อย มีฤทธิ์ข้างเคียง เช่น น้ำหนักลด ท้องเสีย
ยังไม่มีสมุนไพรใดที่ใช้รักษาโรคเอดส์ได้จริงจัง ส่วนใหญ่ยังอยู่ระหว่างการทดลอง ซึ่งบางอย่างก็ทดลองโดยไม่ถูกกฎหมาย แต่อย่างไรก็ตามการศึกษาสมุนไพร ก็เป็นแนวทางหนึ่งในการจะค้นพบยารักษาโรคนี้